โครงการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการการอ่านและการเขียน เพื่อส่งเสริมสมรรถนะความฉลาดรู้ ของผู้เรียน ตามแนวข้อสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA)

ที่มาและความสำคัญของโครงการ/กิจกรรม

การอ่านและการรู้หนังสือ (Reading & literacy) เป็นทักษะที่จำเป็นยิ่งสำหรับ การเรียนรู้และการพัฒนาชีวิตสู่วามสำเร็จ การอ่านอย่างคล่องแคล่วและเข้าใจความหมายจะนำมาซึ่งความรู้และส่งเสริมให้เกิดการคิดวิเคราะห์ มีวิจารณญาณ แยกแยะและประยุกต์ใช้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต พร้อมทั้งสามารถถ่ายทอดสื่อสารให้ผู้อื่นทราบและเข้าใจได้ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญของศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยได้ตระหนักและให้ความสำคัญของการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจัดกิจกรรมเกี่ยวกับหนังสือ และการรณรงค์ส่งเสริมการอ่าน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2554) รัฐบาลมีการกำหนดนโยบายด้านการอ่านอย่างต่อเนื่อง จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566- 2570) ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนการพัฒนาของแต่ละมิตินำไปสู่การบูรณาการผลรวมที่สนับสนุนการดำเนินงานซึ่งกันและกัน ตลอดทั้งได้กำหนดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ กำหนดให้ พ.ศ.2552 – 2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน และกำหนดให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปีเป็นวันรักการอ่าน รวมทั้งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2563) จากการสำรวจความสามารถในการอ่าน เขียน และคำนวณปี 2561 ของประชากรอายุตั้งแต่ 6 ปี ขึ้นไปทั้งสิ้น 63.4 ล้านคน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (รายละเอียดดังตารางที่ 1) ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญต่อการพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่าน เนื่องจากการอ่านทำให้ผู้อ่านมีความรอบรู้ เพิ่มพูนศักยภาพในการดำเนินชีวิต และการทำงาน สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2563)

ตารางที่ 1 ผลการสำรวจความสามารถในการอ่าน เขียน และคำนวณของประชากรอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป

ความสามารถในการอ่าน เขียน และคำนวณ
จำแนกตามความสามารถ ร้อยละ จำแนกตามวัย ร้อยละ
ความสามารถด้านการอ่าน การเขียน และคำนวณ 92.6 วัยเด็ก 89.7
ความสามารถอ่านออกและเขียนได้ 93.6 วัยเยาวชน 92.9
ความสามารถอ่านหนังสือออก 94.7 วัยทำงาน 81.1
ความสามารถในการเขียน 93.9 วัยผู้สูงอายุ 52.2
ความสามารถในการคำนวณ 95.8

จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่า ความสามารถในการอ่าน เขียน และคำนวณของประชากรอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป เมื่อจำแนกตามความสามารถ และจำแนกตามวัย พบว่า ความสามารถในการอ่าน เขียน และคำนวณ มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับช่วงวัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ชัดเจน  ดังนั้น การเรียนรู้สมัยใหม่ไม่ได้มุ่งเพียงแค่ให้ผู้เรียนสามารถตีความหรืออ่านออกเท่านั้น แต่จะต้องสร้างให้ผู้เรียนเกิดนิสัยรักการอ่าน เกิดสุนทรียะและมีความสุขในการอ่าน ผู้เรียนจะต้องมีแนวทางการอ่านหลายวิธีอันจะเป็นพื้นฐานที่ดีสาหรับนาไปใช้ในการเขียนสื่อความหมายได้หลายรูปแบบด้วยเช่นกัน จากข้อมูลที่นำเสนอมาข้างต้นการพัฒนาทักษะการอ่าน เขียน และคำนวณของผู้เรียนระดับพื้นฐานควรจะต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหา เนื่องจากทักษะการอ่าน เขียน และคำนวณเป็นทักษะการสื่อสารในชีวิตประจำวันที่ผู้เรียนจะต้องนำไปใช้ในการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจ โดยเริ่มจากการศึกษาเสียงคำความหมาย โครงสร้างทางภาษา ประโยค ข้อความ จนถึงเรื่องราวต่าง ๆ อันจะช่วยให้เกิดความเชี่ยวชาญซึ่งจะนำสู่ทักษะที่ใช้ในการคิดแก้ปัญหา (Problem Solving Thinking) เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา เลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาและดำเนินการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในการพัฒนาการอ่าน ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนและมีการประเมินทักษะความสามารถในการอ่าน อาทิ The National Center for Education Statistics ( 2012) การประเมินทักษะการอ่านของ IEA (International Association for the Evaluation of Educational) และ NAEP (2013) ในส่วนของประเทศไทยได้ร่วมมือกับองค์กร OECD (Organization for Economic Cooperration and Development) เข้าร่วมโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA (Programme for International Student Assessment) โดย PISA ได้เน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนที่จะใช้ความรู้และทักษะเพื่อเผชิญกับโลกในชีวิตจริงมากกว่าการประเมินความรู้ที่ได้เรียนตามหลักสูตรในโรงเรียน ณ ปัจจุบัน OECD/PISA เรียกสมรรถนะนั้นว่า Literacy ซึ่งในที่นี้จะใช้คำว่า “การรู้” (OECD, 2010; Thomson, 2013) ซึ่งกรอบการประเมิน“การรู้” (Literacy) ได้วัดความสามารถด้านการรู้เรื่องการอ่าน การรู้คณิตศาสตร์ และการรู้วิทยาศาสตร์ ที่เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลในการพัฒนาทักษะทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน โดยการรู้เรื่องการอ่านเป็นความสามารถขั้นพื้นฐานในการพัฒนาการรู้คณิตศาสตร์ และการรู้วิทยาศาสตร์ต่อไป (OECD, 2010) และจากผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากลของเด็กไทย PISA 2022 พบว่า เด็กไทยมีผลคะแนนรวม 3 ด้านคือคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่านที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเป็นผลประเมินที่ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี อย่างไรก็ตามกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่า ในจำนวนเด็กกลุ่มตัวอย่าง 8,459 คน ที่ร่วมทดสอบมีเด็กที่สามารถทำคะแนนระดับสูง (High-performing students) ในวิชาคณิตศาสตร์คิดเป็น 1% วิทยาศาสตร์ 0.6%  และการอ่าน 0.2% ส่วนในกลุ่มคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ (Low-performing students) วิชาคณิตศาสตร์คิดเป็น 68.3% วิทยาศาสตร์ 53.0% และการอ่าน 65.4% ซึ่งตัวเลขนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำในแวดวงการศึกษาไทย โดยเฉพาะช่วงระหว่างสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ในปี 2565 เด็กไทยมีคะแนนเฉลี่ยด้านคณิตศาสตร์ 394 คะแนน ด้านวิทยาศาสตร์ 409 คะแนน และด้านการอ่าน 379 คะแนน ขณะที่กลุ่มประเทศสมาชิก OECD มีคะแนนเฉลี่ย 472 485 และ 476 คะแนน ตามลำดับ

นอกจากนี้ผลการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) พบว่า ค่าสถิติคะแนน O-NETชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระดับชาติ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 1 เรื่องการอ่าน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 42.64 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 50 (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2564) แสดงให้เห็นว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่กาลังเข้าสู่การศึกษาในระดับมัธยมปลายหรือ ปวช.นั้นมีความสามารถในการอ่านไม่ดีนัก ดังนั้น เมื่อเข้าศึกษาต่อพวกเขาไม่สามารถใช้ทักษะการอ่านเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนักเรียนไทยมีระดับความชานาญการอ่านไม่เพียงพอในการใช้ชีวิตจริง ทั้งทางด้านการศึกษาและการเป็นประชาชนที่มีคุณภาพในสังคมอนาคตได้ เมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนของชาติอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับผลจากการศึกษาเอกสาร ตารา และงานวิจัยที่เกี่ยวกับปัญหาการรู้เรื่องการอ่าน พบว่า ปัญหาการรู้เรื่องการอ่านของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คือ ด้านความเข้าใจในการอ่าน ผู้เรียนไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์ ไม่สามารถอ่านตีความได้ ในด้านเวลาที่ใช้ในการอ่านพบปัญหาคือ ครูให้เวลากับการฝึกทักษะการอ่านและการเขียนไม่เพียงพอ ประกอบกับการฝึกใช้กลวิธีในการอ่านที่ไม่หลากหลาย ตัวแปรดังกล่าวมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน เพราะครูใช้เวลาอ่านน้อยประกอบกับบทเรียนมีความเข้าใจที่ซับซ้อน มีเนื้อหาจานวนมาก โดยเฉพาะการสอนอ่านจับใจความสำคัญ ครูได้ใช้เวลาหมดไปกับการหาความหมายของคาศัพท์ ซ้ำยังไม่สร้างแรงจูงใจในการอ่านและความผูกพันในการอ่านอีกด้วย(ศิวกานท์ ปทุมสูติ, 2554; Van Elsacker, 2002 อ้างถึงใน Diepen et al., 2004 )

จากความสำคัญและปัญหาของการรู้เรื่องการอ่าน (Reading literacy) ในข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาเรื่องการรู้เรื่องการอ่านของนักเรียน โดยเฉพาะเกิดจากการจัดการเรียนการสอน ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและหลักการจากเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถการรู้เรื่องการอ่าน พบว่า แนวคิดการสอนอ่านที่น่าจะสามารถนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการการอ่านและการเขียน เพื่อส่งเสริมสมรรถนะความฉลาดรู้ของผู้เรียน ตามแนวข้อสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) โดยผู้วิจัยได้ประยุกต์จากการนำแนวคิดการอ่านจากต้นแบบ (Reading apprenticeship approach) ที่เป็นลักษณะสำคัญของต้นแบบจากข้อสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) เพื่อนำมาพัฒนาทักษะของการอ่าน และการเขียนร่วมกับการฝึกใช้กลวิธีในการอ่านและการเขียน โดยครูผู้เชี่ยวชาญ และเพื่อนจะเป็นแบบอย่างในการฝึกอ่านงานเขียนแต่ละประเภท บทบาทของครูจะเป็นต้นแบบในการใช้กลวิธีการอ่าน ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้กลวิธีการอ่านด้วยตนเอง (Schoenbach, 2000 อ้างถึงใน Mehdian, 2009) รู้จักวางแผนเลือกเนื้อหาที่จะอ่าน และตรวจสอบความเข้าใจในขณะที่อ่าน รวมทั้งการประเมินผลในด้านความรู้ที่ได้รับ และภาระงานที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งเลือกใช้กลวิธีการอ่านสำหรับงานเขียนที่ยากๆ (Sipe, 2006; Mehdian 2009)

วัตถุประสงค์ของโครงการ/กิจกรรม ที่ดำเนินการ

  1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการการอ่านและการเขียน เพื่อส่งเสริมสมรรถนะความฉลาดรู้ของผู้เรียน ตามแนวข้อสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ
  2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านและการเขียนก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมสมรรถนะความฉลาดรู้ของผู้เรียน ตามแนวข้อสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ
  3. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการการอ่านและการเขียน เพื่อส่งเสริมสมรรถนะความฉลาดรู้ของผู้เรียน ตามแนวข้อสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ

 

รายละเอียดเจ้าของโครงการ

1) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร ศิริ
โทรศัพท์: 06-3241-5561   E -mail: adi867444@gmail.com
2) อาจารย์ ดร.วริศนันท์ เดชปานประสงค์
โทรศัพท์: 08-0595-5463  E-mail: warisanan2509@gmail.com
3) อาจารย์ ดร.มนูญพงศ์ ชัยพันธ์
โทรศัพท์: 09-6152-5549  E-mail: manoon.c2505@gmail.com
4) อาจารย์ ดร.สุดใจ เขียนภักดี
โทรศัพท์: 081-583-6804  E-mail: moosudjai@gmail.com
5) อาจารย์ ดร.ณัฐฐา รัตนปัญญา
โทรศัพท์: 081-841-7833 E-mail: natta.raa@svit.ac.th
6) อาจารย์ คริส ชาน
โทรศัพท์: 081-585-6369 E-mail: chris.chn@svit.ac.th
7) หน่วยงานหลัก: คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ
8) หน่วยงานสนับสนุน: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 3